บทสัมภาษณ์ผู้บริหาร

“บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)”

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ

รองกรรมการผู้จัดการ

บริษัทเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ 10 ปี

บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงไปประมาณ 30% แต่อีก 70% ยังคงเหมือนเดิมในธุรกิจหลักของบริษัท เรายังคงมุ่งเน้นที่บริการสินเชื่อมีหลักประกัน รวมถึงสินเชื่อโดยใช้รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ และที่ดินเป็นหลักประกัน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจเรามากว่า 30 ปี การเพิ่มสินเชื่อไม่มีหลักประกันหลังจากที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นการเพิ่มที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาทดแทนสินเชื่อหลักของเรา เราจึงมุ่งเน้นพัฒนาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และการดำเนินงานโดยรวม โดยเน้นการเติบโตและผลกำไรที่ยั่งยืนในระยะยาว หลักการพื้นฐานยังคงเหมือนเดิมเป็นส่วนใหญ่ แต่มีการปรับปรุงเพื่อให้เกิดแนวทางการทำงานที่เป็นมาตรฐานและยั่งยืนมากขึ้น ส่งผลให้เรามีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงหลักๆ อยู่ที่การปรับปรุงกระบวนการและโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเติบโตและผลกำไรในระยะยาวมากกว่าผลกำไรระยะสั้น

คุณยังคงรู้จักลูกค้าของคุณดี แม้ว่าธุรกิจของคุณจะใหญ่ขึ้นมากได้อย่างไร

เมื่อ 10 ปีก่อน เรามีสาขาแค่ 500 สาขา ตอนนั้นคนเชื่อว่าขีดจำกัดน่าจะอยู่ที่ 1,000 สาขา เพราะธนาคารพาณิชย์กำลังปิดสาขา มีความเห็นว่าการเปิดสาขาไม่น่าจะคุ้มค่า และในอนาคตจะเป็นยุคของฟินเทค อุตสาหกรรมของเราถูกมองว่าล้าสมัยและมีความเสี่ยงสูง แต่เรายังคงยืนหยัดและมุ่งเน้นในธุรกิจหลักของเรา

เราขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 7,600 สาขาทั่วประเทศ เราได้เห็นการเติบโตที่น่าทึ่ง จากลูกค้า 400,000 รายเป็น 3.5 ล้านรายที่ยังใช้บริการ หากนับรวมลูกค้าในอดีตที่ปัจจุบันไม่ได้เป็นลูกค้าเราแล้วด้วย ตัวเลขนี้จะสูงกว่า 5 ล้านคน นี่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก เรายังคงเชื่อมั่นต่อวิธีการดำเนินธุรกิจของเรา แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่สม่ำเสมอ ในขณะที่คนอื่นมุ่งเน้นไปที่อื่น เราได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ นำไปสู่ความสำเร็จในปัจจุบันของเรา

แนวทางการทำธุรกิจของเราแตกต่างจากผู้อื่น ด้วยการให้ความสำคัญกับลูกค้าและพนักงานของเรา รวมถึงการโฟกัสลงลึกในธุรกิจนี้อย่างเต็มที่ ทำให้เราสามารถขยายตัวได้มากโดยมีพอร์ตสินเชื่อสูงถึง 100,000 ล้านบาท ปัจจุบัน อุตสาหกรรมของเรากำลังได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วน รวมถึงธนาคารพาณิชย์ ความยืดหยุ่นและผลการดำเนินงานของเราแสดงถึงแนวทางการทำงานที่ยั่งยืน

คุณบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้ผลงานโดดเด่นกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม

โมเมนตัม (Momentum) ในธุรกิจนั้นสำคัญมาก เราเห็นแล้วว่ามีบางบริษัทเข้ามาในตลาดแล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมนี้ ในวงการเทคโนโลยี ในวงการการเงิน มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามา มีสงครามราคา แต่ในท้ายที่สุดแล้ว บริษัทที่รักษาโมเมนตัมในการดำเนินงานไว้ได้ต่างหากที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว นี่คือเหตุผลที่เราให้ความสำคัญกับความยั่งยืน อาจฟังดูเข้าใจง่าย แต่วิสัยทัศน์ของเรามองไปไกลกว่าผลกำไรระยะสั้น เรามองไปถึง 20 ปีข้างหน้า เราไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายรายไตรมาสหรือรายปี เป้าหมายของผมคือการสร้างบริษัทที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนไปอีกหลายชั่วอายุคน นั่นหมายถึงการให้ความสำคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืนมากกว่าผลกำไรระยะสั้น

ช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่าคุณทำอย่างไรถึงบรรลุเป้าหมายนี้

แน่นอนครับ คู่แข่งบางรายเน้นผลกำไรระยะสั้นและใช้กลยุทธ์การขายแบบเชิงรุก แต่เราเชื่อในแนวทางที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เราเสนอเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าของเราต้องการจริงๆ ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คุณสามารถเยี่ยมชมสาขาของเราและสังเกตด้วยตัวเองได้ว่า เราไม่ได้ขายอะไรที่เกินความต้องการของลูกค้า ในระยะยาว ความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศและการตั้งราคาที่ยุติธรรมทำให้เราได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม เราพึ่งพาการบอกต่อ มากกว่าการทำโฆษณาเพื่อดึงดูดและรักษาลูกค้า สิ่งที่สำคัญพอๆ กันคือพนักงานของเรา พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของทีม ได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม แรงจูงใจของเราอยู่ที่การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่เพื่อผลกำไรระยะสั้น - เรามุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง

ด้วยที่ธุรกิจของบริษัทการมีส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่มากอยู่แล้ว คุณวางแผนที่จะเติบโตต่อไปได้อย่างไร

เป็นความจริงที่ว่าตอนนี้เรามีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 40% ในตลาดสินเชื่อโดยใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นหลักประกัน แต่เรายังเห็นโอกาสในการเติบโตผ่านการขยายผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าสินเชื่อโดยใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นหลักประกันจะเป็นบริการหลักของเรา แต่เรากำลังขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น สินเชื่อโดยใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน และสินเชื่อสำหรับรถยนต์ นี่ทำให้เราสามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น และเพิ่มขนาดพอร์ตโฟลิโอได้ แม้ว่าฐานลูกค้าของเราจะใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็ตาม ดังนั้น ถึงแม้จะมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า แต่เรามั่นใจในความสามารถที่จะเติบโตต่อไปได้ 20% ต่อปี

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงเชิงกฎระเบียบหลายอย่างในอุตสาหกรรม คุณช่วยอธิบายผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของ MTC และอุตสาหกรรม

การเปลี่ยนแปลงและการนำกฎระเบียบใหม่มาบังคับใช้นั้นมีผลกระทบต่อ MTC ในเชิงบวกอย่างมาก ผมขอขยายความให้ฟัง ในอดีต มีการปฏิบัติทั่วไปและกรอบกฎหมายที่ค่อนข้างหละหลวม แต่ผู้เล่นเดิมในอุตสาหกรรมก็ดำเนินธุรกิจในแนวทางคล้ายกัน โดยเน้นที่อัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมต่อลูกค้าและคุณภาพการให้บริการ อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งผู้เล่นรายใหม่ก็ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกรอบกฎเกณฑ์เดิม ซึ่งสุดท้ายแล้วกลับเป็นผลเสียต่อลูกค้า ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ทำให้กฎระเบียบในอุตสาหกรรมเป็นทางการมากขึ้น โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดและแนวปฏิบัติทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาต ทำให้เกิดการแข่งขันที่เท่าเทียมและช่วยเพิ่มความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม แม้ว่าสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมอาจเปลี่ยนแปลงไป แต่ความมุ่งมั่นของเราในการเติบโตอย่างยั่งยืนยังคงมั่นคงเหมือนเดิม

อะไรคือสิ่งที่แตกต่างของฐานลูกค้าในแต่ละเซกเมนต์ของตลาดสินเชื่อ รถจักรยานยนต์ รถยนต์ และสินเชื่อที่ดิน

ลูกค้าของเราคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด เราไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนทั้งประเทศ นั่นไม่ใช่จุดแข็งของเรา 10% นี้คือลูกค้าของเรา หลายคนยังไม่มีบัญชีธนาคาร แต่เราเข้าใจความต้องการของพวกเขาและเราจะให้บริการที่ดีเพื่อให้พวกเขากลับมาใช้บริการของเราอีก เรายังคงยืนหยัดในผลิตภัณฑ์หลักของเรา คือสินเชื่อโดยใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นหลักประกัน ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ขยายไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อที่ดิน เราสามารถรักษาอัตราการเติบโตที่ตั้งเป้าไว้ที่ 18-20% ต่อปี ซึ่งทำให้คู่แข่งไม่กล้าเข้ามาในตลาดสินเชื่อโดยใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นหลักประกัน ธุรกิจปัจจุบันของเรายังคงเห็นโอกาสที่จะเติบโตต่อไปได้อีก 20% ต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

คุณได้พูดถึงการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน รบกวนช่วยอธิบายความคิดในเรื่องนี้เพิ่มเติม

วิสัยทัศน์ของเราคือการทำให้เมืองไทย แคปปิตอล เป็นบริษัทไมโครไฟแนนซ์ระดับโลก เป้าหมายของเราไม่ได้มุ่งแค่การเป็นที่หนึ่งในประเทศไทยอีกต่อไป แต่ต้องการแข่งขันในระดับสากล เราจะยังคงนำระบบ แนวปฏิบัติ และกระบวนการที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการลูกค้าอย่างดีที่สุดมาใช้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ดีคือในฝ่ายการเงิน เราได้ขยายงานด้านการเงินองค์กร การบริหารสภาพคล่อง การบริหารความเสี่ยง และ การปฏิบัติงานตามกฎหมายและกฎระเบียบ เราแต่งตั้งบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีรายใหญ่ระดับโลก (Big 4) ถึง 3 บริษัทมาช่วยปรับปรุงระบบ การบริหารความเสี่ยง การปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบ และความยั่งยืนขององค์กรของเรา

ในทุกสาขาของเรา มีการดำเนินงานที่เรียบง่าย อย่างการตรวจสอบให้แน่ใจว่าคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องใช้ระบบปฏิบัติการอย่างถูกต้องลิขสิทธิ์และล่าสุด มีการติดตั้งระบบที่อินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้แค่จากอุปกรณ์ในพื้นที่เท่านั้น และที่การบันทึกเสียงในทุกสายโทรศัพท์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราสามารถตรวจสอบและมั่นใจว่าปัญหาของลูกค้าทุกเรื่องได้รับการแก้ไขโดยราบรื่น

ผ่านการนำกระบวนการข้างต้นมาประยุกต์ใช้ ทำให้การดำเนินงานเป็นไปในรูปแบบเดียวกัน และเรายังตระหนักถึงการใช้พลังงานไฟฟ้า กระดาษ น้ำมัน และอื่นๆ จากการใช้ข้อมูลเพื่อวัดผลการดำเนินงานส่งผลให้มีการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 7 ล้านบาทต่อปี ที่น่าภูมิใจคือเราถูกรวมอยู่ใน MSCI ESG Index, FTSE และเราได้รับเงินทุนสนับสนุนโครงการความยั่งยืนจาก JICA, DEG และ SMBC ด้วย

MTC จะเป็นอย่างไรภายในปี 2030

อุตสาหกรรมจะถูกควบรวมกิจการมากขึ้น เราจะมีสาขาใกล้ถึง 10,000 แห่งทั่วประเทศ มีลูกค้า 4.5 ล้านราย และมีพอร์ตสินเชื่อ 2 แสนล้านบาท เราจะยังคงมุ่งเน้นที่บริการหลัก โดยยึดลูกค้าและพนักงานเป็นศูนย์กลาง ด้วยการมุ่งสู่ความยั่งยืนทางธุรกิจ เพื่อให้เมืองไทย แคปปิตอล เป็นบริษัทไมโครไฟแนนซ์ของคนไทยในระดับโลก