The Executive Talk Interview
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ
(ประธานกรรมการบริหาร)

มกราคม 2561
MTC ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจไปทั่วประเทศได้อย่างไร
เรานำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2014 กิจการเติบโต 50% และ 80% ในปี 2015 และ 2016 ตามลำดับ ปีนี้เราตั้งเป้าหมายเติบโต 50% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี ซึ่งขณะนี้เราทำได้ถึง 55% ดังนั้นคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ในอีก 2 ปีข้างหน้าเรามุ่งหวังสร้างการเติบโต 40% ต่อปี และ 30% ต่อปีในปี 2020
ตัวเลขความสำเร็จตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดฯ สะท้อนอยู่ในรูปของอัตราการเติบโตของสินเชื่อ รายรับ และผลกำไร ในขณะที่สามารถคงอัตราส่วนของหนี้เสียได้ที่ 1.5% เราทำได้สำเร็จเนื่องจากการระดมทุนจากการเสนอขายครั้งแรก นอกจากนั้นมีการขยายสาขาจาก 506 สาขาในปี 2014 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือ เป็น 2,294 สาขาในปัจจุบันทั้งในกรุงเทพฯ ภาคตะวันออกและภาคใต้
MTC ให้บริการสินเชื่อประเภทใดกับลูกค้า
ลูกค้าของเราคือกลุ่มชาวไร่ชาวนา คนงานก่อสร้าง คนทำงานบริษัท เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและข้าราชการ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของเราแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) สินเชื่อรถจักรยานยนต์ 2) สินเชื่อรถยนต์ 3) สินเชื่อโฉนดที่ดิน 4) สินเชื่อส่วนบุคคล และ 5) สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ในปัจจุบัน สินเชื่อรถจักรยานยนต์ รถยนต์ และที่ดิน คิดเป็น 39%, 33% และ 14% ตามลำดับ ส่วนที่เหลือเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล รถเพื่อการเกษตร และนาโนไฟแนนซ์ ซึ่งเราคาดว่าจะรักษาอัตราส่วนนี้ไว้ในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า ปัจจุบันเรามีลูกค้าทั้งหมด 1.3 ล้านคนจากสัญญา 1.6 ล้านฉบับ
MTC สามารถสร้างการเติบโตและบริหารจัดการหนี้เสียให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
สิ่งสำคัญคือการมุ่งความตั้งใจไปที่จุดสำคัญและการทำงานเป็นทีม ในฐานะผู้ก่อตั้ง เรามุ่งความสำคัญไปที่ธุรกิจตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา เข้าใจวงจรของธุรกิจ อุตสาหกรรม ลูกค้า คู่แข่ง และวิธีการที่จะทำให้บริษัทฯ ประสบความความสำเร็จ การทำงานเป็นทีมคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเติบโตอย่างประสบความสำเร็จและบริหารหนี้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสาหลักแห่งคุณค่าทั้ง 5 ประการของเราได้แก่ 1) ทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต 2) ทำงานหนัก 3) ทัศนคติที่เป็นบวก 4) การทำงานเป็นทีม และ 5) ระเบียบวินัย อนึ่ง ความรู้สึกรับผิดชอบในผลการปฏิบัติงานของตนเอง ของทีมและของบริษัทฯ ได้ถูกฝังอยู่ในโครงสร้างองค์กรของเราด้วยเช่นกัน
ประเด็นเรื่องตั๋วแลกเงิน มีผลกระทบสำหรับการจัดหาเงินทุนของ MTC หรือไม่
การจัดหาเงินทุนไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นประเด็นสำหรับบริษัทจดทะเบียนบางแห่งในประเทศไทย เราสามารถออกตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ หรือได้รับเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ในปัจจุบัน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของเราอยู่ที่ 3 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่สถาบันการเงินก็ค่อนข้างพอใจ และด้วยแผนการขยายธุรกิจ เราคาดว่าจะสามารถรักษาอัตราส่วนนี้ไว้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากเรายังคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลต่ำกว่า 50% ซึ่งจะเอื้อต่อการสร้างการเติบโตให้กับฐานทุนของบริษัทฯ
MTC แตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร
หากคุณเดินเข้ามาในสำนักงานสาขาของเรา อาจดูเหมือนว่าไม่มีอะไรแตกต่างจากคู่แข่งอย่างจับต้องได้ แต่เมื่อลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การใช้บริการแบบครบวงจรในการกู้เงินหรือชำระเงินกู้ มั่นใจว่าลูกค้าจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างแน่นอน เมื่อเราพูดถึงการบริการ อาจเป็นเรื่องง่ายๆ เช่นการต้อนรับด้วยน้ำเย็นสักแก้ว ซึ่งลูกค้าอาจไม่เคยพบเจอในบริษัทอื่น หรืออาจเป็นการที่เรากำหนดอัตราค่าบริการที่ต่ำสุดที่ 8% หรืออัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัทฯ เนื่องจากเมื่อลูกค้าคนหนึ่งมีความพึงพอใจกับการบริการ ก็มีโอกาสสูงที่จะไปบอกต่อ ซึ่งจะช่วยให้เราเติบโตเป็นที่รู้จักและขยายฐานลูกค้าได้
นอกจากนั้น เมื่อเราพูดถึงการแข่งขัน คู่แข่งอาจไม่ใช่ธนาคารหรือผู้ให้บริการด้านการเงินเสมอไป แต่อาจเป็นผู้ให้บริการในท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดหรือพื้นที่ ได้แก่ร้านทอง ตัวแทน ทนายความ หรืออื่นๆ เพราะคนกลุ่มนี้รู้จักชุมชนดี แต่อย่างไรก็ตาม ลูกค้าอาจไม่ได้รับการดูแลที่ดี และมักถูกคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงถึง 3-5% ต่อเดือน ดังนั้น เมื่อเมืองไทย แคปปิตอลขยายสาขา สิ่งที่ติดตัวเราไปด้วยคือความเป็นมืออาชีพ เราให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่ง
MTC มีแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศหรือมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่หรือไม่
ตลาด CLMV นับว่ามีความน่าสนใจมาก เราเองได้เดินทางไปประเทศเหล่านี้และพบกับคู่ค้าที่มีศักยภาพ แต่ขณะนี้ยังไม่ใช้เวลาที่เหมาะสมในการขยายธุรกิจเนื่องจากยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบธนาคาร ข้อบังคับ กฎหมายต่างๆ ของประเทศในกลุ่มนี้ ประกอบกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นและการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นเงิน 2 ล้านล้านบาทสำหรับโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น สำหรับผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่ๆ เรามีประสบการณ์ในผลิตภัณฑ์ทั้ง 5 ของเรา และจะยังมุ่งเน้นในสิ่งที่เราทำได้ดีและคุ้นเคย เราเชื่อว่าตลาดยังสามารถพัฒนาไปได้อีก อย่างไรก็ตาม ด้วยฐานลูกค้ากว่า 1 ล้านคน แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นบริการเช่าซื้อหรืออื่นๆ แต่ตอนนี้เรายังคงมุ่งเน้นที่ 5 ผลิตภัณฑ์ที่ทำอยู่และยังคงเน้นที่ประเทศไทยเป็นหลัก
ความเสี่ยงอะไรบ้างที่มีนัยยะต่อธุรกิจมากที่สุด
การทำธุรกิจนี้ในประเทศไทยมีปัจจัยความเสี่ยง 2 ประเด็นหลักที่น่ากังวล ประการแรกคือภัยธรรมชาติ และประการที่สองคือความไม่มั่นคงทางการเมือง ในเรื่องภัยธรรมชาติเราต้องคอยเฝ้าระวังช่วงที่จะมีน้ำท่วมหรือภัยแล้งเนื่องจากภัยธรรมชาติเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของลูกค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงความจำเป็นในการใช้บริการสินเชื่อของทางบริษัทฯ ในปีนี้แม้ว่าจะมีเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ด้วยประสบการณ์ของเราก็ทำให้เราสามารถรับมือและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และด้วยปริมาณน้ำในเขื่อน 50% เราจึงหมดกังวลในเรื่องภัยแล้ง ในส่วนของประเด็นความไม่มั่นคงทางการเมืองนั้น ในอดีตเราเคยมีเหตุการณ์ประท้วงหรือความเห็นทางการเมืองแตกแยกออกเป็นหลายฝ่าย
อย่างไรก็ตามตั้งแต่รัฐบาลทหารได้เข้ามาบริหาร สถานการณ์ก็ดูเหมือนจะมีความมั่นคงมากขึ้น ปัจจัยอื่นนอกเหนือจากสองปัจจัยดังกล่าว เรามองว่าเรื่องสำคัญคือ เทรนด์หรือการเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งเราก็มีการเตรียมตัวรับมือเป็นอย่างดีโดยการพัฒนาระบบที่ให้ลูกค้าสามารถชำระเงินกู้และกู้เงินเพิ่มผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในอนาคต อนึ่ง การที่จะเปิดตัวบริการดังกล่าวเราจำเป็นจะต้องจัดสรรช่องทางในการชำระเงินกู้ผ่านสาขาของเรา ร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ
มุมมมองธุรกิจของ MTC ในอีก 5 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร
ปัจจุบันเราเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องของทรัพย์สิน สินเชื่อใหม่ รายรับและผลกำไร เราวางแผนขยายสาขาเป็น 4,000 สาขาในอีก 3 ปีข้างหน้าโดยจะเปิดเพิ่มปีละ 600 สาขา และรักษาอัตราส่วนของสินเชื่อให้คงไว้ในระดับปัจจุบัน ด้วยจำนวน 4,000 สาขา เราจะครอบคลุมการให้บริการทั่วประเทศ เป็นการเพิ่มระยะห่างเชิงกลยุทธ์ระหว่างเมืองไทย แคปปิตอลและคู่แข่งรายอื่น จำนวนสาขาของเราก็จะคิดเป็นจำนวนเท่ากับ 50% ของสาขาธนาคารพาณิชย์ในประเทศ สุดท้าย ด้วยประสบการณ์ ความมุ่งมั่น และการทำงานเป็นทีม เรามั่นใจว่าเราจะสามารถทำตามเป้าหมายได้สำเร็จอย่างแน่นอน